บอสไม่เคยเห็นความดี จะทนอยู่ หรือจากไปดี!!
- Published: Jun 14, 2016 18:29
- Writer: CLEO Thailand | 1 viewed
น้อยใจเหลือเกิน อุตส่าห์เทใจหมดหน้าตัก แต่เจ้านายกลับบอกว่าเรามันแย่ ยังไม่ถึง ดูไม่ดี ไม่พร้อม ตอบแทนซะจี๊ดสะใจ ประเมินประจำปีซะต้อยต่ำ โบนัสน้อยนิด ลดบทบาทการทำงาน หรือแอบเคี๊ยะเบาๆ บีบนู่นนี่สารพัด โอ๊ย! ถ้าทำกันขนาดนี้ ชิงลาออกเลยดีมั้ยคะ???
“ทำงานดีไม่ดี เจ้านายก็เกี่ยว”
ก็ไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทองหรือมีแฟนเป็นเจ้าสัวนี่เนอะ จะได้นอนนิ่งๆ ทำเล็บทำผมอยู่บ้านได้ ทุกคนตะลีตะเหลือกตื่นเช้ามาทำงานกันทั้งนั้น แน่นอนล่ะว่าเรื่องงานเลยเป็นเรื่องใหญ่ของพวกเรา ไม่มีทางซะหรอกที่เราจะยอมถอนเกียร์จากเรื่องงาน เงินทั้งนั้นนะคะ บางคนต้องทำงานจนลืมดูแลตัวเอง ลืมแฟน หรือแม้แต่ลืมครอบครัวไปเลยด้วยซ้ำ เลยไม่แปลกถ้าเราอยากจะให้งานได้ตอบแทนความรู้สึกดีๆ กับเราบ้าง แต่ปัจจัยความน่าภาคภูมิใจกับงาน ไม่ได้เกิดขึ้นจากความสำเร็จของตัวงานเพียงอย่างเดียว ปัจจัยอื่นโดยเฉพาะคนทำงาน กลับตัวแปรสำคัญที่มักจะสร้างความพอใจให้เรามากกว่า ศาสตราจารย์เวย์น เอ.ฮ็อชวอร์เตอร์ จากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรัฐฟลอริดา เคยสำรวจพนักงานออฟฟิศกว่า 400 คน และได้พบเรื่องน่าตกใจว่ากว่า 75% คนทำงานมองว่าชอบงานหรือทำงานได้ดีหรือไม่ มักมีเหตุผลเรื่องเจ้านายเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ
“เจ้านาย VS. ลูกน้อง จริงใจยากมาก???”
ศาสตราจารย์เวย์น เอ.ฮ็อชวอร์เตอร์ ได้ค้นพบว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับลูกน้องเป็นความสัมพันธ์ที่สร้างความจริงใจต่อกันได้ยากมาก นิสัยและมุมมองที่สร้างมาจากครอบครัวต่างกันเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้คนทั้งคู่ยากจะไว้ใจและเชื่อใจกันได้ และถ้าความสัมพันธ์ไม่ได้ปรับให้เข้าใจกัน หรือเยียวยาให้ดีขึ้นโดยตัวพวกเขาเอง ไม่ช้าความสัมพันธ์จะกลายเป็น “ความสัมพันธ์พิษ”
เหตุผลหลักๆที่ทำให้เกิดขึ้นเรียงจากมากไปหาน้อยมักมาจาก
1. เจ้านายไม่สามารถรักษาสัญญาที่ให้กับลูกน้องไว้ได้
2. เจ้านายถูกมองว่าเป็นคนขี้เกียจ ชอบโยนงานให้ลูกน้อง และ
3. เจ้านายชอบโม้ความสำเร็จของตัวเองโอเว่อร์ซะจน…เอิบ ไม่พูดดีกว่า
เมื่อความสัมพันธ์เป็นพิษ และไม่สามาถจัดการให้ดีขึ้นได้ วิธีลาออกเลยเป็นคำตอบที่ผุดขึ้นเสมอ
40% ลาออก เพราะไม่เชื่อถือ และหมดศรัทธาเจ้านาย
50% ลาออก เพราะมีความเห็นหรือแนวทางการทำงานต่างจากเจ้านาย
70% ลาออก เพราะรู้สึกว่าตั้งแต่ทำงานมาไม่ค่อยได้รับคำชมเชยจากหัวหน้า แต่ถ้าทำพลาดมักถูกตำหนิอย่างรุนแรง
พวกเราเป็นแบบนี้กับเจ้านายรึเปล่า
ร้อยละ 40 บอกว่า จะทำเป็นไม่รู้จักหรือหลบเจ้านายถ้าเจอกันโดยบังเอิญ
ร้อยละ 32 บอกว่า เจอเจ้านายมูดดี้ อารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
ร้อยละ 29 บอกว่า เจ้านายพร้อมหักหลังเพื่อรักษาเก้าอี้ของตัวเอง
“เครียดนายจนเลิกทุ่มเท”
เจ้านายแย่ๆ ทำให้เราประสาทกินได้เลยนะ ยิ่งถ้าต้องเจอสถานการณ์หรือความสัมพันธ์พิษๆตลอดเวลา ความเครียดจะประดังประดา ตามจากที่ทำงานลากเข้ามาถึงบ้าน อาการหลักๆ ของหลายคนเลย คือนอนไม่หลับ ร่างกายป่วย เพื่อนเราคนนึงเป็นหนักมาก เธอเป็นคนขี้น้อยใจ แล้วพอเจ้านายมาเอารัดเอาเปรียบบ่อยๆ นางก็จะทุกข์ นานเข้าๆเธอคนนี้ขาดความทุ่มเทและความเต็มใจในการทำงาน กลายเป็นคนไม่มั่นใจ ไม่กล้าทำอะไร ที่แย่ที่สุดเรารู้สึกเลยว่าเธอเห็นคุณค่าของตัวเองน้อยลง หลายคนอาจจะเถียงว่าจะทนทุกข์ไปทำไม เหวี่ยงใส่เลย ลาออกเลยง่ายกว่า แต่ความเป็นจริงก็คือว่า หลายคนต้องทนทำงานต่อไปเพราะไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า งานทุกวันนี้หายากขึ้น คนจ้างน้อยลง จะย้ายงานใหม่เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากอีกด้วย
เช็คลิสท์เจ้านาย
ผู้นำสำคัญมาก เขาเหมือนวาทยากรคุมวงเล่นดนตรีให้เพราะ ต้องควบคุมวงให้เล่นจนจบเพลง การทำงานก็ไม่ต่างกัน บรรยากาศของการทำงานเป็นสิ่งสำคัญ เขาจะต้องเป็นคนเสกและควบคุมให้เกิดความรู้สึกอยากทำงานที่สุด ยังไม่ต้องถึงขนาดคาดหวังว่าจะเจ้านายแสนเลิศคนนั้นจะต้องเป็นยังไง แต่เราลองมาดูว่าคุณสมบัติพื้นฐานแค่สามอย่าง เขามีบ้างมั๊ย
1. ความเก่ง…เบสิกเลย หัวหน้างานต้องมีความรู้ ต้องชำนาญ และเข้าใจงานที่ทำ เขาจะต้องเก่งว่าจะสร้างสรรค์ยังไง วางแผนยังไง แก้ปัญหายังไง จะให้ดีขึ้นไปอีกต้องเป็นคนรักการเรียนรู้ เพิ่มพูนความรู้อย่างต่อเนื่อง
2. ความกล้า…เขาเป็นผู้นำ เลยต้องพกความกล้าไว้ติดตัวเสมอ กล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจ กล้ารับผิดชอบ ข้อหลังนี้สำคัญเลย เพราะถ้าหัวหน้างานไม่กล้ารับผิดชอบ ลูกกระจ๊อกอย่างเราๆ จะไม่เชื่อถือ จะตราหน้าว่าเขาอ่อนแอ
3. ความดี…ข้อนี้หลายคนชอบลืม หรือไม่ใส่ใจ แต่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เก่งแค่ไหนแต่เห็นแก่ตัวก็จบกัน กล้าแค่ไหน แต่วีนไร้เหตุผลก็ไม่ต้องพูดกันแล้ว เจ้านายต้องเป็นคนดี ไม่ต้องกำหนดรูปแบบว่าดีแบบไหน แต่เอาแค่เสียสละ มีน้ำใจ รักความยุติธรรมก็ประเสริฐจะตายแล้ว
แล้วจะบอกให้ว่าลึกๆ ของหัวใจพวกเรามีความรู้สึกน้อมรับ และพร้อมจะทำตามอยู่แล้ว ถ้าเจ้านายเขามีคุณสมบัติข้างบนนี้ มันก็ง่ายมากๆ ที่จะเปลี่ยนทัศนคติการทำงานของเรา รวมถึงทำให้เรานิสัยดีขึ้นได้ แต่กลับกันถ้าเขาขาดคุณสมบัติของคนทำงานพื้นฐาน ภาพฝันอันสวยงามของเราก็พร้อมถูกทำลายทันที
ทำไมเจ้านายถึงมองเราว่า “ยังดีไม่พอ”
เดี๋ยวจะหาว่าติเตียนเจ้านายเกินไป เราเองก็ต้องมานั่งนึกและคิดถึงตัวเราให้มากขึ้นด้วยว่าเหตุผลอะไรกันนะที่อาจทำให้เจ้านายเขามองว่าเรายังดีไม่พอ หรือไม่พอดี ลองนึกถึงตัวเองง่ายๆ “สมอง หัวใจ และกำลังของสองมือ” คนบางคนทำงานเก่ง เพราะสามารถคิดวิธีการทำงานให้ดีขึ้น จัดระเบียบสมองให้ใช้ข้อมูลที่มีอยู่ได้ดี ได้ทัน และรอบด้าน บางคนใช้หัวใจทำงาน สมองธรรมดา แรงไม่ถึง แต่ใจสู้ แถมยังเปิดใจให้สิ่งใหม่ๆ รับมาเลือกใช้ ปรับ เปลี่ยนแปลง ให้เข้ากับงานได้ดี และสุดท้ายเรื่องของกำลัง หลายคนลุยแหลก แบบไม่กลัวแรงหมด จริงๆ แล้วสามอย่างนี้เป็นคุณสมบัติที่พอจะบอกได้ว่าคนทำงานคนนั้นเก่งด้านไหน หรือเก่งแค่ไหน เรามีสามอย่างนี้ในการทำงานบ้างรึยัง เหมือนกันถ้าเรามี เจ้านายก็อาจเปลี่ยนทัศนคติการทำงานกับเราเหมือกัน
“เลือกไม่ได้ ก็ปรับคลื่นหัวใจให้พอดี”
พี่สาวคนสนิทคนนึง เป็นสาวขาลุยเรื่องงาน หลายต่อหลายครั้งเธอหมดพลัง หมดไฟ หมดกำลังใจจากเจ้านายที่สับขาหลอกเธออยู่เสมอ แต่สิ่งนึงที่เราเห็นว่าเป็นพลังดีๆ ที่เธอทำได้ คือเธอเลือกจะปรับความรู้สึกแย่ๆให้มาเป็นพลังสร้างสรรค์ เธอจะไม่ปล่อยให้สมองใช้พลังอยู่กับเรื่องลบๆ แต่เธอจะมองมุมกลับ ปรับมุมมองใหม่ว่า ถึงเธอจะทำให้ฉันรู้สึกแย่ แต่ฉันว่าฉันสามารถทำให้ฉันรู้สึกดีด้วยตัวเองได้ มีคำพูดนึงที่เราว่าสะกดจิตฟุ้งซ่านอาการน้อยใจ คือคำว่า “พวกเรามันคนละเผ่า” คำนี้มีพลังมากนะเราว่ามันหมายถึงการยอมรับความจริงบางอย่าง แต่ก็กล้าหาญมากๆที่จะรักษาตัวเองไว้อย่างมั่นคง ถึงแม้คลี่นหัวใจมันจะเหลื่อมกับเจ้านายอยู่บ้าง แต่ถ้าคลื่นเราเจ๋งพอ จะไปสนทำไมล่ะ คนเก่งตัวจริงไม่มีเวลามางี่เง่าเว้าวอนเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้เสียเวลานานหรอก ชีวิตยังมีอีกมากมายที่ต้องใช้ ต้องค้นหา ถ้าเกิดสู้จนสุดแรง ใช้หัวใจจนหยดสุดท้าย เจ้านายยังจ้องจับผิด ยังหาข้อติข้อเตียนทำให้เราน้อยใจอยู่ได้ ก็แค่เลิกรับความคิดบ้าๆ นั่นซะ หันมาแคร์ตัวเอง และทำตัวเองให้ดีมากขึ้นน่ะ ดีที่สุดเลยล่ะ