6 ข้อเรียกพลัง ก่อนโปรเจคงานครั้งใหญ่
- Published: Jun 20, 2017 16:24
- Writer: CLEO Thailand | 1 viewed
โดย @mafuangr
จะเหนื่อยอยากทิ้งตัวขนาดไหน เมื่อมีงานที่ยิ่งใหญ่บิ้กบึ้มมาจ่อรออยู่ตรงหน้า ผู้หญิงอย่างเราก็ขอเรียกพลังฮึบมหัศจรรย์ จัดการความท้าทายนี้ซะหน่อย !
1. ทำสมาธิ แบบฟังเสียงกระทบ
วิธีนี้เป็นวิธีที่เบาสบายมาก และเป็นการ meditation แบบถูกจริตเรา คือด้วยความที่แต่ละวันมันวุ่นวายสุดๆ อยู่ดีๆ จะให้มา หยุด! นั่งเงียบๆ นิ่งๆ หายใจเข้านับหนึ่ง หายใจออกนับสองไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ฝึกสมาธิแบบค่อนข้างโปรมาแล้ว มันก็อยากที่ใจจะนิ่งขนาดนั้นได้ เราไปอ่านเจอจากนิตยสาร Real Simple ของอเมริกา เขาสอนว่า ลองนั่งเฉยๆ หลับตาแล้วโฟกัสที่ซักหนึ่งเสียง อาจเป็นเสียงหมาข้างบ้านที่ร้องอยู่ ฟังมันไปเรื่อยๆ ด้วยความใจเย็น พอรู้สึกประมาณว่า 1 นาทีแล้วก็เปลี่ยนไปโฟกัสเสียงอื่นอีก 1 เสียง อาจเป็นเสียงแอร์ดัง พอกะเวลาประมาณหนึ่งนาทีได้ก็เปลี่ยนเสียง โอเคลองเสียงนาฬิกาติ๊กต๊อกดู? จากนั้นก็นั่งแล้วปล่อยใจให้สบาย สังเกตเสียงเหล่านี้ไปเรื่อยๆ ด้วยความสงบว่าเอ๊ะ มีเสียงอะไรเข้ามากระทบเราบ้างนะ ทำได้แล้ว ในชีวิตจริง ไม่ว่าชีวิตจะวุ่นวาย มีแต่เสียงเจ้านาย เสียงคุณแม่ หรือเสียงอะไรมาเซ้าซี้เรา ในที่สุดเราก็จะเรียนรู้ว่า มันก็แค่เสียงๆ หนึ่ง แทนที่จะโมโหในใจหนักมาก เราก็จะปล่อยทุกอย่างได้สบายเอง ไม่กดมันเอาไว้ สมาธิก็จะฮัลโหลวเราง่ายขึ้น
2. ปรับมือถือเป็นโหมด ‘แค่รับโทรศัพท์’ เท่านั้น
เพราะเราเข้าใจ ว่าจะให้ทิ้งมือถือไปไกลๆ เพื่อเรียกสมาธิ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะในชีวิตจริง เต็มไปด้วยผู้คนที่โทรมาตามงาน รุ่นพี่โทรมาเช็คและอัพเดทโปรเจค หรืออะไรก็แล้วแต่ – แค่ปรับโหมดให้ได้ยินแต่เสียงโทรเข้าพอ เสียงไลน์ หรือเตือนเฟซบุคอะไรก็ปรับเงียบให้หมด เพราะถึงเราจะได้ยินเสียงแต่ไม่กดเข้าไปดู ก็จะมีการเหลือบไปอยู่ดีว่าใครคอมเม้นต์อะไรเรานะ ใจก็ไม่อยู่นิ่งอีกละ เกิดความอยากรู้เพราะรู้ไม่สุด! บอกเพื่อนและทุกคนไว้ในสเตตัสว่า ‘ฉุกเฉิน ให้โทรเท่านั้น’ เราก็จะเจอแต่ท้อปปิคสำคัญจริงๆ ที่โทรมา (และเพื่อนคนไหนที่โทรมาแกล้งเล่น เราก็รีบว่างให้เร็วด้วย) เพราะการคุยโทรศัพท์ พอวางแล้วก็จบแค่นั้น มันไม่เสี่ยงเหมือนเล่นโซเชียลที่จะลิ้งค์ไปเรื่องอื่นให้อยากรู้เสมอ ช่วงแรกจะยากมากๆๆๆๆ กับการบังคับตัวเองไม่ให้เอามือถือมาเล่นให้ได้ แต่พอทำได้แล้วก็เหมือนปีนขึ้นเอเวอร์เรสขั้นแรก ฝึกไปเรื่อยๆ ก็จะถึงยอดเอเวอร์เรสเอง
3. แพลนเนอร์ ต้องมีติดตัวทุกครั้ง
โต๊ะเราจะรกแค่ไหน ขยะเกลื่อน แต่รบกวนเคลียร์พื้นที่ ให้สป๊อตไลท์กับแพลนเนอร์ของเราด้วยค่ะที่รัก แล้วเราจะไม่ลนเลย เวลามีใครโทรมาสั่งงานเพิ่มแบบฉุกเฉิน หรือเช็คตารางของเรา พอรู้ว่าต้องทำอะไรเพิ่ม ก็เขียนใส่แพลนเนอร์ทันที ไม่ใช่เขียนแปะโพสต์อิทไว้ ซักพักก็หาย งานรวน! ที่สำคัญคือ พอรับคำสั่งจากเสียงโทรศัพท์แล้ว ก็กระชากตัวเองให้กลับมาทำงานตรงหน้าให้ไว โฟกัสต่อค่ะ เกิร์ล!
4. สเต็ปงานต้องชัด อีคิวต้องแน่น
คือการรู้ว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง ขั้นตอนทุกอย่าง ต้องตั้งสติเรียงลำดับให้ดี รู้ว่าจุดไหนสำคัญที่สุด และจุดไหนไม่ควรทุ่มเวลาให้มากเกินไปจนเสียพลังงานเปล่าๆ รับฟังเสียงจากคนรอบข้างบ้างก็ได้นะ ถ้าเจ้านายมาเหวี่ยงใส่รุนแรง ก็อย่ารีบตั้งแง่ รู้สึกเดือดน่ะใช่ แต่อย่าเก็บความเดือดปุดๆ นี้เอาไว้นาน ไม่งั้นงานตรงหน้าเราจะโคลงเคลง เพราะอารมณ์มันไปอยู่กับสิ่งข้างนอก เราต้องมีสติคิดให้ทันว่า ถ้างานนี้มาแทรก เราสามารถรีบทำงานที่แทรกให้เสร็จได้มั้ย หรือเราเก็บงานแทรกเอาไว้แปปนึงแล้วทำสเต็ปงานหลักที่เกือบเสร็จแล้วให้ถึง ปล: ถ้าอยู่ในออฟฟิสที่เสียงดังมากๆๆ เรียกสมาธิยากมาก อย่างน้อยต้องมีเฮดโฟนไว้ เข้ายูทู้ปแล้วเลือกเพลงที่ทำให้เราโฟกัส บางคนเป็นเพลงแจ๊สสวยๆ หรือบางคนจะเป็นอีดีเอมเลย แล้วโฟกัสกับเพลง+รีบทำงานต่อ ดีกว่าหันไปเม้าท์กับเพื่อน
5. พักก็คือพัก
นอนและกิน สิ่งนี้ลืมไม่ได้ (แต่เรื่องอาบน้ำสระผม อันนี้ลืมได้ เอ้า) พยายามจัดการเวลาให้ไม่ลืมสองสิ่งนี้ ถึงจะมีเวลากินแค่ 5 นาที ก็ทิ้งทุกอย่างแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ กินแซนด์วิชนั้นซะ! หนึ่งวันเราต้องมีเวลารีแลกซ์บ้างนะ เข้าใจว่างานยุ่ง แต่สุมตัวเองกับงานทั้งวันอาจทำให้งานไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่มันควรจะเป็นได้! โทรไปเม้าท์กับเพื่อนสุดฉาซัก 5 นาทีอ่ะ เราอนุญาต มันต้องมีจุดจูนอารมณ์ ให้มีโมติเวชั่นกลับมาทำโปรเจคใหญ่ต่อได้ และที่สำคัญ นอนด้วยนะ การหลับคือการเติมพลังงานทุกอย่างทั้งแรงกายและจิตใจกลับเข้าร่างได้ดีที่สุด ที่ต้องเลิกน่ะ คือเลิกอ้างว่าขอไปผับเพื่อผ่อนคลาย! เพราะมันจะกลายเป็นเหนื่อยหนักกว่าเดิม และอ่อนล้า ทุกครั้ง !
6. บอกตัวเองว่า ทุกอย่างเป็นไปได้… แต่ถ้าไม่ได้ ก็ขอบคุณซะ!
โอเค เราจะขยายประโยคให้ฟัง ไม่มีอะไรที่ผู้หญิงอย่างเราทำไม่ได้หรอกนะ จะยากจะเหนื่อยขนาดไหน ท้าทายสุดความสามารถของเรา แต่ถ้ามีความมั่นใจ ความเชื่อ และพยายามสู้สุดขีด จัดการกับความเครียดได้เยี่ยม มันก็ต้องไปถึงโกลที่ตั้งไว้ได้แหละน่า แต่! อาจด้วยเรื่องเวลาที่จำกัด อาจด้วยเรื่องความผิดพลาดจากคนอื่นที่มากระทบเรา หรือมีปัจจัยมากมายที่มากระเด้งโดนผลงานของเรา ทำให้มันไม่สวยเหมือนที่เคยฝันไว้ เราจะเฟล เสียใจมากๆๆๆ แต่สิ่งที่คลีโออยากให้สาวๆ รู้ไว้ คือ อย่าเอาแต่โทษตัวเอง ขอบคุณมันเถอะ (ห๊ะ อะไรนะ ไม่เมคเซ้นส์!) เมคเซ้นส์มากกกกเลยจ่ะ เพราะถ้าเราย้อนกลับไปดู การเดินทางที่เหนื่อยและยากลำบากของเรา มันเพิ่มสกิลมากมายให้เราได้เรียนรู้และเก็บติดตัวไว้เพื่อโปรเจคใหม่ที่ยากกว่าเดิมครั้งหน้า มันยกระดับความภูมิใจของตัวเองได้เยอะ เมื่อเราตอบตัวเองว่าเราเก่งจริง เราผ่านมาได้จริง นี่คือภูมิคุ้มกันสุดพลัง สำหรับเรื่องหนักๆ อื่นๆ ในอนาคตนะ ขอบคุณประสบการณ์นี้ซะ!