ปีใหม่ คนใหม่ งานใหม่
- Published: Feb 6, 2017 17:22
- Writer: Post Today | 1,037 viewed
ทุกต้นปี หลายๆ คนก็จะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ตั้งใจที่จะเป็นคนใหม่ หรืออาจจะเปลี่ยนแปลงที่ทำงานใหม่ เจอเพื่อนร่วมงานใหม่ๆ หรือบางคนแม้ว่าจะทำงานอยู่ที่เดิมก็อาจจะเจอหัวหน้างานคนใหม่ ซึ่งล้วนแต่ต้องปรับตัวกัน เพื่อให้มีสิ่งใหม่ๆ ดีๆ เกิดขึ้นตลอดปี
การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นได้เสมอในชีวิตคนเรา โดยเฉพาะเรื่องงาน คนนั้นเปลี่ยนไปทำงานใหม่ และงานนั้นก็เปลี่ยนคนใหม่มาทำ เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ ที่สำคัญคือการเปลี่ยนงานนั้นต้องดีขึ้น และการตัดสินใจในการเปลี่ยนงานนั้นควรเป็นการตัดสินใจตามกระบวนการที่ถูกต้อง ไม่ใช่มาจากการใช้อารมณ์ส่วนตัว
หลายคนเปลี่ยนงานเพราะเพื่อนชักชวน บริษัทนายหน้ามาเสนอเงื่อนไขดีๆ เพราะเบื่องานเดิม เพราะอยากลองของใหม่ เพราะกระแสนิยม หรืออาจจะอยู่นานไป โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ จะมีการเปลี่ยนงานบ่อยกว่าคนทำงานรุ่นเก่าๆ ก็มองได้ 2 ประเด็น คือ
ประเด็นแรก – เพราะคนบางคนมีความคิดที่ต่างไป แทนที่จะมีแนวคิดว่าทำงานกับองค์กรใดองค์กรหนึ่งนานๆ เป็นการไม่ยึดติดองค์กร แต่จะยึดติดกับผลตอบแทนเป็นหลักมากขึ้น หลายคนมีความเชื่อและค่านิยมที่ว่าการเปลี่ยนงานบ่อยสามารถเพิ่มเงินเดือนให้กับตัวเองได้เร็วกว่า และมากกว่าการขึ้นเงินเดือนขององค์กรเดิม การพบปะกับเพื่อนสมัยเรียนมาด้วยกัน มีการพูดคุยกันในรุ่นเดียวกัน ใครเงินเดือนสูงกว่ากัน ใครอายุน้อยแต่ตำแหน่งหน้าที่และเงินเดือนสูงกว่าจะถูกมองว่าเป็นคนเก่ง และได้รับการยอมรับจากเพื่อนฝูงมากกว่า ด้วยความเชื่อต่างๆ เหล่านี้ จึงทำให้คนอยากเปลี่ยนงานกันบ่อยๆ
ประเด็นที่สอง – คือสิ่งล่อใจต่างๆ ที่มาจากกลไกการตลาดการจ้างงาน ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างที่สูงกว่า ตำแหน่งที่ดีกว่า หรือการใช้บริการของบริษัทนายหน้าหางานต่างๆ ที่ไปเสาะแสวงหาคนเก่งในองค์กรต่างๆ ซึ่งความจริงแล้วยังไม่เคยคิดจะเปลี่ยนงานเลย แต่พอเจอข้อเสนอดีๆ ก็อาจหวั่นไหวไปได้ ทำไงได้บนโลกใบนี้เวลาอยากได้อะไรก็ยังต้องใช้เงินซื้ออยู่ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยสี่ หรือปัจจัยเสริมที่จะทำให้ความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้น
การเปลี่ยนงานนั้นไม่ควรเปลี่ยนงานเพราะ “อยากเปลี่ยน” กล่าวคือ มีบางอย่างมากระตุ้นให้เราเกิดความอยาก เช่น เงินเดือนที่สูงกว่า ตำแหน่งที่สูงกว่า หรือสิ่งล่อใจต่างๆ แต่การเปลี่ยนงานควรเปลี่ยนเพราะ “ต้องเปลี่ยน” กล่าวคือ งานเดิมที่ทำหรือองค์กรเดิมไม่สามารถตอบสนองหรือเติมเต็มเป้าหมายในชีวิตของเราได้ เช่น เรามีเป้าหมายว่าในอีก 5 ปี เราจะต้องมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการ แต่พอถึงเวลาแล้วเรายังไม่ได้เป็น ถ้าเราคิดว่าเรามีความสามารถเพียงพอ แต่โอกาสของที่ทำงานปัจจุบันไม่รองรับการเติบโตของเราได้ นั่นแหละเราควรเปลี่ยนงาน เพื่อตอบสนองเป้าหมายในชีวิตที่เรากำหนดไว้
ความก้าวหน้าในอาชีพของมนุษย์เงินเดือน ก็ขึ้นอยู่แต่ละองค์กรที่กำหนด หรือที่เราเรียกกันว่า Career Path เส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพนั้น มักจะมีข้อจำกัดเยอะ ยิ่งองค์กรใหญ่ๆ ที่มีมานาน ก็จะยิ่งมีเยอะ เช่น กำหนดว่ากี่ปีจะมีโอกาสเลื่อนตำแหน่ง การแต่งตั้งจะต้องมีคุณสมบัติอย่างนั้นอย่างนี้ บางที่ต้องมีตำแหน่งงานว่างก่อน ถ้าไม่มีก็ต้องทำเรื่องปรับอัตราให้เรียบร้อยก่อน จึงจะปรับตำแหน่งได้ หรือไม่ก็ต้องรอให้คนที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่ามีการเปลี่ยนแปลงเสียก่อน เส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพบางองค์กรมีไว้เพื่อให้ดูดี แต่โอกาสที่จะเติบโตขึ้นไปจริงๆ มีไม่มากหรอก เพราะข้อจำกัดเยอะ คนทำงานหลายคนย่ำอยู่กับที่ไม่ไปไหน ไม่ใช่ว่าเขาไม่เก่ง แต่ข้อจำกัดมันเยอะ สรุปง่ายๆ คนเก่ง แต่ไม่มีตำแหน่งว่าง
คนเก่งหลายคนไม่ได้มีโอกาสเติบโตในช่วงจังหวะที่เหมาะสม พอนานๆ ไป ก็โตไม่ขึ้น จะออกไปเติบโตที่อื่นก็ไม่ได้แล้ว เนื่องจากอายุก็มากเกินไป เงินเดือนก็สูงเกินไป เมื่อเทียบกับตำแหน่งที่จะสมัคร ดังนั้นทุกคนควรกำหนดเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพของตัวเองขึ้นมา โดยเขียนให้สอดคล้องกับเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพแบบเดียวกับที่องค์กรมีให้เรา เช่น กี่ปีเราจะไปถึงตำแหน่งไหน จะพัฒนาตัวเองอย่างไรถึงจะไปถึงตรงนั้น ถ้าเรามีคุณสมบัติถึง ก็ดูว่าองค์กรปัจจุบันตอบสนองเราได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้เพราะข้อจำกัดต่างๆ เช่น ขนาดองค์กร โควตาของตำแหน่งในระดับสูง เป็นต้น เราจะเชื่อมโยงเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพของเรากับองค์กรอื่นได้อย่างไร เราก็จะได้มีเวลาเตรียมตัวสะสมประสบการณ์ เตรียมตัวซ้อมสมัครงาน เตรียมตัวเปลี่ยนที่ทำงาน เป็นต้น
สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ทำงานในองค์กรน้อยกว่า 1 ปี อย่าคิดเปลี่ยนงานเลยครับ เพราะเวลาแค่ 1 ปี เป็นช่วงของการเรียนรู้ซะมากกว่า ที่จะได้พัฒนาฝีมือการทำงานจริงๆ เพราะแค่ 1 ปี คุณไม่มีทางรู้จักองค์กรนั้นดีหรอก ดังนั้นการตัดสินใจว่าไม่เหมาะกัน ผมว่าเป็นการด่วนสรุปไป แต่ที่แน่ๆ คุณจะเสียโอกาสของการสะสมประสบการณ์การทำงานจริงๆ ผมหมายถึงประสบการณ์ทำงานที่เกิดในตัวคุณจริงๆ ไม่ใช่แค่สะสมประวัติการทำงานในกระดาษ เพื่อไปใช้อ้างอิงในการสมัครงาน แต่ก็อย่างว่าบางคนมีความเชื่อที่ว่าการเปลี่ยนงานจะได้ผลตอบแทนแบบก้าวกระโดดมากกว่าที่ได้เพิ่มจากที่เดิม
สุดท้ายคุณก็ต้องหลอกตัวเองและหลอกนายจ้างไปตลอด เพราะไม่มีฝีมือหรือประสบการณ์ที่ดีพอที่จะทำงานให้คุ้มกับค่าจ้างที่เขาจ้างเรา เพราะเขาจ่ายมาก ก็คาดหวังมาก แต่เราเองเปลี่ยนงานทุกปี ไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะพัฒนาตัวเองหรือสะสมประสบการณ์ในการทำงานจริงๆ มีก็แค่หนังสือรับรองการผ่านงาน ดังนั้นอย่าตัดสินใจเปลี่ยนงานเพราะได้งานใหม่ แต่จงตัดสินใจเปลี่ยนงานก่อนที่จะสมัครงาน