4 โรคเสี่ยงมนุษย์ออฟฟิศ
- Published: Nov 22, 2016 13:57
- Writer: นสพ. M2F ฉบับวันที่ 5 ตุลาคม 2559 | 1,319 viewed
ปกติมนุษย์เราทำงานวันละ 8 -10 ชม. หรือใช้เวลาไปกับการทำงานประมาณ 2,000 ชม.ใน 1 ปี นั่นหมายความว่าคนเราใช้เวลาในชีวิตส่วนใหญ่หมดไปกับการทำงาน ซึ่งพฤติกรรมในการทำงานนั้นเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ทั้งร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศที่ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน เผยถึงโรคที่มักจะเกิดจาก 4 สัมผัสของเหล่าพนักงานออฟฟิศให้ได้ทราบกัน
1.โรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม (Computer Vision Syndrome - CVS)
กลุ่มที่ต้องระวัง : คนที่ต้องทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานเกิน 2 ชม. โดยไม่พักสายตา
จุดสังเกต : ดวงตาล้า ดวงตาแห้ง รู้สึกแสบตา และดวงตาไม่สามารถสู้แสงหรือโฟกัสได้ ทั้งนี้ อาจมีอาการปวดหัว คอ และบ่าร่วมด้วย
สาเหตุ : การใช้คอมพิวเตอร์ที่มีหน้าจอสว่างมากเกินไป การมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ใกล้และเป็นระยะเวลานานโดยไม่มีการพักสายตา รวมถึงการมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ในระดับที่ไม่เหมาะสมกับระดับสายตา
การป้องกันและการรักษา : ควรจะพักสายตาบ่อยๆ หมั่นกะพริบตา และปรับความสว่างของแสงบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม ศูนย์กลางหน้าจอควรต่ำกว่าระดับสายตา 4-5 นิ้ว หรือประมาณ 15-20 องศา โดยวางห่างจากสายตาประมาณ 20-28 นิ้ว
2.โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome – CTS)
กลุ่มที่ต้องระวัง : คนที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ทำงาน หรือคนที่ใช้ข้อมือหนัก
จุดสังเกต : มักมีอาการชา หรือปวดบริเวณนิ้วมือ ฝ่ามือ ลามไปถึงหัวไหล่ โดยอาการมักเกิดตอนที่ใช้ข้อมือหนักๆ จนทำให้กล้ามเนื้อมืออ่อนแรง ไม่สามารถกำมือแน่นๆ ได้
สาเหตุ : การใช้ข้อมือในท่าทางเดิมเป็นประจำ มีการใช้ข้อมือหนักๆ เช่น เวลาพิมพ์คีย์บอร์ด หรือตอนควบคุมเม้าส์โดยข้อมือเสียดสีกับพื้นโต๊ะตลอดเวลา
การป้องกันและการรักษา : หากอาการยังไม่รุนแรง เบื้องต้นให้ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้มือ หาอุปกรณ์มารองรับ ทำการประคบร้อน กดนวดบริเวณพังผืดที่กดทับเส้นประสาท หรือยืดเส้นประสาท หากมีอาการรุนแรงอาจต้องพบแพทย์เพื่อทำการรักษา
3.โรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อม (Cervical Spondylosis)
กลุ่มที่ต้องระวัง : คนที่ต้องนั่งทำงานเป็นระยะเวลานาน หรือคนที่มีพฤติกรรมชอบบิดคอ หมุนคอ
จุดสังเกต : ปวดบริเวณคอ ไหล่ และบ่า บางครั้งอาจมีอาการปวดร่วมกันจนทำให้อาการหนักขึ้น คือลามไปกดทับเส้นประสาท ทำให้อาการปวดลามไปถึงแขน เริ่มมีอาการชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง และหากไปกดทับหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองจะทำให้รู้สึกปวดหัว ปวดกระบอกตา และรู้สึกบ้านหมุน
สาเหตุ : มีพฤติกรรมการใช้คอและกล้ามเนื้อแผ่นหลังที่ผิดลักษณะ เช่น การบิดคอ การนั่งก้มหน้าทำงานเป็นระยะเวลานานโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
การป้องกันและการรักษา : หากต้องนั่งทำงานเป็นระยะเวลานานให้ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยหมั่นยืดกล้ามเนื้อบ่อยๆ ไม่ควรโน้มศีรษะอ่านหนังสือเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคอทำงานหนักกว่าปกติ แต่ควรยกหนังสือให้ตั้งขึ้นในระดับสายตาแทน ในกลุ่มคนที่อาการยังไม่รุนแรงสามารถรักษาด้วยการกินยา ทำกายภาพบำบัด หรือรักษาโดยใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง (Nucleoplasty)
4.โรคสมาธิสั้นจากการทำงาน (Attention Deficit Trait – ADT)
กลุ่มที่ต้องระวัง : ทุกคน
จุดสังเกต : ไม่สามารถจดจ่อกับอะไรบางอย่างได้นาน ความอดทนต่ำ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แก้ไขปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ การแบ่งเวลา และจัดลำดับความสำคัญต่อสิ่งต่างๆ ลดลง รวมถึงมีอาการเครียด กังวล และคิดถึงปัญหาอยู่ตลอดเวลาโดยไม่แสดงออก
สาเหตุ : สภาพแวดล้อมในการทำงานที่บีบคั้นและวุ่นวาย ต้องรับผิดชอบและทำงานหลายอย่างพร้อมกันในเวลาเดียว
การป้องกันและการรักษา : พักผ่อนหรือเปลี่ยนอิริยาบถหากรู้สึกว่าทำงานติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน และควรมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง รวมถึงพยายามจัดลำดับความสำคัญ แบ่งเวลาให้กับการทำงานอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ หากรู้สึกไม่ดีขึ้นควรปรึกษาจิตแพทย์