สาวเจ้าของ Tiffany’s Show พัทยาคนนี้สร้างโชว์อลังการ…ยิ่งใหญ่ได้ต้องใช้หัวใจแลกมา!
- 28 กรกฎาคม 2559 เวลา 12:25 น.
- รายงานข่าวโดย: CLEO Thailand | 3,987 viewed
"อลิสา พันธุศักดิ์ (จ๋า) ผู้บริหาร Tiffany’s Show" สาวเจ้าของธุรกิจที่โด่งดังไปทั่วโลก ใครไปพัทยาคงต้องเคยได้เข้าไปดูหรือได้ยินชื่อของ Tiffany’s Show แต่ที่แน่ๆ Miss Tiffany เป็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ได้ทุกปี ก็มาจากเธอคนนี้เลย กว่าจะฝ่าฟันมาถึงวันนี้ต้องเจออะไรบ้าง พี่จ๋าจะมาเล่าให้ฟัง…
จากโชว์ในบาร์มาเป็นโรงละครใหญ่
ย้อนกลับตั้งแต่ตอนที่คุณพ่อของพี่จ๋าเคยทำงานในโรงแรมแล้วมาสร้างธุรกิจรับแลกเงินที่พัทยาเป็นเจ้าแรกจนอยู่ตัว มองหาธุรกิจใหม่เลยได้มาเช่าที่เพื่อทำโรงแรม แต่เกิดเหตุหุ้นส่วนไม่ร่วมด้วย พอดีกับที่คุณพ่อไปเห็นโชว์ทิฟฟานี่ในบาร์ตรงพัทยาใต้ เป็นบาร์เล็กๆ มีพนักงานไม่เกิน 30 คน แต่งานโชว์ดีๆ อย่างนี้มาอยู่ในโรงละครใหญ่ได้สบาย “คุณพ่อสร้างโรงละครและให้คุณอาที่เป็นเจ้าของบาร์มาเช่า แต่ 37 ปีก่อนตรงนี้ยังไม่เจริญเลยค่ะ ธุรกิจ 2-3 ปีแรกยังไม่สำเร็จ ต้องเปลี่ยนจากรอลูกค้าเดินมาซื้อตั๋วไปเป็นลูกค้าทัวร์ คุณอาจะเลิกทำ คุณพ่อสงสารนักแสดงเลยมาเป็นเจ้าของแทน ให้คุณอาเป็นพาร์ทเนอร์ดูแลการแสดง คุณพ่อจะบริหารให้”
ตื่นตาตื่นใจกับทุกโชว์
พี่จ๋าเล่าให้เราฟังว่าได้ตามคุณพ่อพาไปดูเกือบทุกวัน หลับตาแล้วจำได้ทุกรายละเอียด “ชอบการแสดง Tiffany มาตั้งแต่เด็ก จำเพลงได้ เต้นตามได้ เป็นความประทับใจตั้งแต่ยังไม่ได้ย้ายมาทำที่นี่ เราตื่นตามากเพราะคนเต็มทุกวัน มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คุณพ่อจะเปลี่ยนโรงละครทุกสิบปี” เราชอบที่พี่จ๋าเล่าว่าคุณพ่อจะถามทุกครั้งที่มาดูโชว์ว่ายังขาดอะไรอยู่หรือเปล่า “ดูแล้วต้องฟีดแบ็คให้ฟัง เราจะถามพ่อว่าทำไมไม่ทำระบบการเงินเรื่องซื้อตั๋วล่ะ พ่อจะฟังและทำเลย ลูกบอกอะไร พ่อจะแก้ไขเสมอ เป็นคนรับฟังความเห็นคนอื่น”
เปลี่ยนฝันรับราชการมาเป็นสาวนักธุรกิจ
หลังจากเรียนจบที่จุฬาฯ เธออยากรับราชการที่กระทรวงการคลังให้ตรงกับที่เรียนมา แต่ก็ได้รับมอบหมายงานให้มาดูธุรกิจที่บ้านอย่างเนียนๆ “พ่อไม่เคยพูดว่าให้เรามาทำ เขามองว่านี่เป็นอิสรภาพ จะทำก็ทำ ไม่ทำก็ต้องดูแลตัวเองได้ เงินเดือนต้องพอใช้ แต่เราเป็นคนที่อยากเรียนทุกอย่างให้จบๆ เรียนปริญญาโทกลับมาอายุ 22-23 เอง พอกลับมาพ่อก็สั่งงานในอาทิตย์หนึ่งเลย ให้มาดูก่อสร้างโรงแรม พ่อไม่ได้บังคับให้มาทำ แต่เราห้ามว่าง เราเริ่มทำแบบไม่ได้คิดอะไรเลย”
เรียนรู้ให้เป็นสาวเก่ง
เราถามว่าต้องทำงานหนักแค่ไหน พี่จ๋าเล่าว่า “เช้ามา 8 โมงต้องมอร์นิ่งบรีฟกับหัวหน้าแผนกแล้วก็ทำที่โรงแรมตอนกลางวัน กลางคืนก็ทำที่ทิฟฟานี่ ดูโอเปอเรชั่นต่างๆ ปีแรกทำความเข้าใจทุกอย่าง ดูว่าจะแก้ปัญหายังไง ปีที่สองกู้เงินมาทำงานก่อสร้าง แก้ไของค์กร ตั้งแต่ 1998 หลังจากนั้นก็ทำมาถึงตอนนี้ยังไม่เคยได้หยุดเลย อาชีพของเราคือดูแลและต่อยอด ปรับปรุงการแสดง ทำยังไงให้เกิดกำไร”
"คน"…ปัญหาปราบเซียนในการทำธุรกิจ
พี่จ๋าบอกไว้อย่างจริงจังว่า “จะหาเงินเท่าไหร่ก็ได้ ถ้าลูกน้องไม่ดี ไม่เห็นวิชั่นเดียวกัน ไม่มีทางที่จะทำอะไรได้ต่อ เราต้องมีคนที่ไว้ใจเชื่อใจได้ ต้องพัฒนาคนอยู่อย่างต่อเนื่อง การดิ้นรนของแต่ละคนต่างกัน คนยุคก่อนจะมีความรักในองค์กรสูง แต่คนที่เข้าใหม่ๆ บางคนจะเน้นทำงานเพื่อเงิน ทำไมต้องเธอ เรารู้สึกท้าทายที่ทำให้ทุกคนรักในองค์กรให้ได้ บางคนเรารู้สึกว่าความทะเยอทะยานในชีวิตหายไปไหน การรู้จักบุญคุณหายไป เราจะปรับทัศนคติเขายังไง ต้องสอนด้วยเหมือนกัน ถ้ามีใครคิดว่าจะทำงานคนเดียวแล้วทำได้ดี ไม่มีคนอย่างนั้นในองค์กรเราแน่ๆ ที่ผ่านมารู้สึกว่าเราโชคดี ไม่ว่าจะทำอะไร มีทีมงานซัพพอร์ต ลูกน้องวิ่งมาหา เราก็ช่วยแก้ ปัญหาเลยไม่เคยหนักมาก ทุกครั้งที่หนักก็กลายเป็นเบาทันที”
อย่างที่รู้กันว่าต้องเจอกับอารมณ์ของคนมากมาย มีกระทบกระทั่งกันบ้าง หัวหน้าแบบพี่จ๋าก็ต้องเรียกมาคุยและเตือนด้วยเหตุผล “เราเป็นคนดุนะ เมื่อก่อนอาจมีปรี๊ดง่าย แต่พอโตหลัง 35 ปีแล้ว อารมณ์โกรธน้อยลง คนที่อายุ 30 ปีไปแล้ว ต้องรู้แล้วว่าเราจะมีบุคลิกแบบไหน เพราะช่วงอายุนี้มีอะไรให้ทำเยอะ”
โหดที่สุดของ Tiifany’s Show
งานหินที่สุดของพี่จ๋าคงเป็นช่วงที่ยังเด็กกๆ แล้วงานก่อสร้างปรับจาก 500 ที่นั่งมาเป็น 1,000 ที่นั่งโดยไม่ปิดการแสดงเลย “การแสดงของเราเริ่ม 6 โมงทุกวัน คืนนั้นต้องมีการตัดไฟเดิม รื้อฝ้าในคืนเดียว เปลี่ยนเป็นโณงละครสองชั้น ฝุ่นเยอะ ต้องดูดฝุ่น จัดฉากใหม่ ไฟต้องคอนโทรลสดหมดเลย แอร์ก็ยังทำงานไม่ดี ระบบใหม่ยังไม่เสร็จ ระบบเก่า ยังไม่พร้อม ไม่ได้นอนไป 3 วัน โชว์ดูแล้วไม่รู้จะเป็นยังไง ตอนนั้นเครียด ใน 5 ปีแรกของการทำงานใหม่ๆ เราจะคอนโทรลการหลับไม่ค่อยได้ แต่ถ้ากังวลอะไรแล้วนอนไม่หลับ เราจะวิเคราะห์ว่ามีเรื่องอะไร จดไว้ข้างเตียง เชื่อว่าพรุ่งนี้ต้องแก้ได้”
ซาบซึ้งใจสุดๆ ของทีมงาน
จากประสบการณ์เป็นสิบๆ ปี พี่จ๋าจำได้แม่นว่าครั้งหนึ่งที่ไฟไหม้ผ้าม่าน แต่ไม่ติดในโรงละคร เพราะมีคนมาเชื่อมเหล็กตรงบันได แล้วสะเก็ดไฟไปติดผ้าม่าน พี่จ๋าบอกว่า “อีกไม่นานโชว์จะเริ่มแล้ว ทุกคนช่วยกันเช็ดถูพวกโฟมดับไฟ คือทุกคนในโรงละครมาช่วยกันเช็ดจริงๆ ไหนจะกลิ่นเหม็นด้วย เราแค่สั่งไปแป๊บเดียว คนก็มาช่วยหมดคนละไม้คนละมือไม่ว่าจะหัวหน้าลูกน้อง เอาพัดลมทั้งโรงละครมาช่วยดูดกลิ่นออก”
สุดท้ายไม่ได้อยู่ที่เงิน แต่อยู่ที่คุณค่าแต่ละคน!
พนักงานใน Tiffany’s Show มีเป็นร้อยชีวิต สร้างรายได้มากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่พี่จ๋าไม่เคยลืมคือ “ทุกคนที่ทำงานที่นี่ไม่ได้สร้างคุณค่าให้ตัวเขาเองเท่านั้นนะ เขาอินสไปร์คนอื่น ทำให้คนอื่นมีแรงบันดาลใจ บางคนในชีวิตไม่เคยสวยเลย แต่บนเวทีสวยมากเลย สิ่งเหล่านี้มีประโยชน์มากกว่าเงิน บางทีเงินก็เท่านั้น เมื่อก่อนเคยมองว่าเราต้องทำให้ได้เท่านั้นเท่านี้ แต่ตอนนี้ไม่เคยมองเลย เราจะมองว่าลูกน้องของเราจะดีขึ้นยังไง โตขึ้นได้ยังไง มีสถานภาพยังไงต่อ เขาจะดูแลครอบครัว สังคมยังไง มีทัศนคติกับโลกแบบไหน เราพยายามสอนเขาทุกเดือนเวลาประชุม เราสอนในการอยู่ร่วมกันว่าจะสร้างประเทศยังไง เราไม่ได้ทำงานเพื่อเงิน ทุกคนต้องสตรองขึ้น มีความสุขในชีวิตมากขึ้น พี่มองเรื่องใจ ไม่ดูถูกคนอื่นและไม่ให้คนอื่นมาดูถูกเรา”
สาวๆ ที่อยากทำธุรกิจแบบไม่รู้อะไรเลย
“ถ้าทำไม่เป็นก็บอกว่าทำไม่เป็นค่ะ” ง่ายมั้ยล่ะ? เพราะพี่จ๋าบอกว่าใช้ความเป็นเด็กให้เกิดประโยชน์ “ผู้ใหญ่จะมองว่าเราอยากรู้ เมื่อก่อนติดคำว่าหนูบ่อยมาก ให้เขาเอ็นดูเรา กับลูกน้องจะเรียกว่าคุณ ต้องวางตัวให้เป็น เรียนรู้ให้ไว เราเองไม่มีหัวโขน ทำหมดตั้งแต่รับโทรศัพท์เป็นโอเปอเรเตอร์ อยากเทสต์ว่าลูกค้าจะพูดยังไง บางทีโดนวีนทำไมรับสายช้าจัง ต้องละเอียด ตั้งใจจริง รู้ทุกเรื่อง ไม่มีอะไรที่เจ้าของไม่รู้ รู้จักฟังหูไว้หู เป็นการฝึกฝนตัวเองให้ฟังคนอื่นเป็น”
งานประกวดสุดฮือฮาทุกปี
Miss Tiffany’s Universe ที่เราเฝ้าติดตามทุกปีว่าใครจะสวยแรงแซงปาดหน้าสาวไทยทุกคนไป พี่จ๋าเล่าว่าเมื่อก่อนเริ่มประกวดกันแต่ในโรงละคร แต่พี่จ๋าอยากให้คนอื่นๆ ข้างนอกได้รู้จักการประกวดนี้ด้วยเลยไปติดต่อช่อง ITV ทีวีเสรีที่น่าจะมีพื้นที่ให้กับสาวประเภทสอง พี่จ๋าลุยเข้าไปเสนอ จากนั้นก็มาที่ช่อง 7 ฉายต่อกันเป็นสิบปีแล้ว “พอดังมาก เราต้องมีเนื้อหาในการทำการตลาด ปีนี้ไหนจะเรื่องโซเชียล ถ่ายทำวีทีอาร์ จะอัพอินสตาแกรมก็ต้องนั่งเช็ครูปและสเตตัส งานเยอะมาก เป็นงานที่ไม่ได้เงินนะคะ แต่ได้ชื่อกลับมา”
tiffany3
อยากสำเร็จต้องทุ่มเท!
พี่จ๋าฝากไว้ว่า “ถ้าอยากให้ชีวิตไปเรื่อยๆ ก็ทำงานไปเรื่อยๆ แต่ถ้าอยากเป็นท็อปต้องทุ่มเท ต้องแสดงให้หัวหน้าหรือคนอื่นเห็น ไม่ใช่แค่ฉลาดอย่างเดียว แต่ต้องอดทน ปรับตัวตามสถานการณ์ต่างๆ ไม่จมกับความสำเร็จเดิมๆ ฟีดแบ็คลูกค้าก็สำคัญ อย่างธุรกิจโรงแรม พี่อ่าน Trip Advisor ทุกวันเลย ถ้าวันไหนได้ 5 ดาวก็จะชมลูกน้อง ถ้าได้ 3 ดาวก็ถามเลยว่าเกิดอะไรขึ้น” พี่จ๋าเป็นอีกตัวอย่างที่ทำให้เราต้องกลับมามองตัวเองแบบละเอียดว่าชีวิตกำลังไปทางไหนต่อ เราหยุดอยู่นิ่งแต่คนอื่นเดินออกไปข้างหน้า มองเป้าหมายให้เป็นเรื่องสนุก ตื่นเช้ามาเราก็จะแฮปปี้กับการทำงานได้ทุกๆ วัน